เมนู

9. อปายิมหวรรค


1. สุราปานชาดก


[81] "พวกกระผมได้พากันดื่ม ได้ชวนกัน
ฟ้อน พากันขับร้อง แล้วก็พากันร้องไห้ เพราะ
ดื่มสุราที่ทำให้สัญญาวิปริต เห็นดีแต่ที่มิได้
กลายเป็นลิงไปเสียเลย"

จบ สุราปานชาดกที่ 1

อรรถกถาอปายิมหวรรคที่ 9


อรรถกถาสุราปานชาดกที่ 1


พระศาสดาทรงอาศัยพระนครโกสัมพี ประทับอยู่
ณ โฆสิตาราม ทรงปรารภพระสาคตเถระ ตรัสพระธรรมเทศนา
นี้ มีคำเริ่มต้นว่า อปายิมฺห อนจฺจิมฺห ดังนี้.
ความพิสดารว่า เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จจำพรรษา
ณ กรุงสาวัตถีแล้ว ได้เสด็จจาริกไป จนลุถึงนิคม ชื่อภัททวติกา
พวกคนเลี้ยงโค เลี้ยงสัตว์ ชาวนา และพวกเดินทาง เห็นพระ-
ศาสดาเสด็จมาแล้ว พากันถวายบังคม พลางกราบทูลห้ามว่า
ข้าแต่พระองค์เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้า อย่าได้เสด็จไป
สู่ท่าอัมพะเลย พระเจ้าข้า นาคชื่ออัมพติฏฐกะ ที่อาศรมของ

ชฎิล ณ ท่าอัมพะ มีพิษร้าย จะเบียดเบียนพระองค์ได้. พระผู้มี-
พระภาคเจ้า ทำเป็นเหมือนไม่ทรงได้ยินถ้อยคำของคนเหล่านั้น
ถึงเมื่อพวกนั้น กราบทูลห้ามอยู่ถึง 3 ครั้ง ก็คงเสด็จไปจนได้
เล่ากันว่า ที่นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จประทับ ณ ไพรสณฑ์
ตำบลหนึ่ง ไม่ห่างนิคมภัททวติกา ครั้งนั้นพระสาคตเถระเป็น
พุทธอุปัฏฐาก ประกอบด้วยฤทธิ์อันเป็นของปุถุชน เข้าไปใกล้
อาศรมนั้น ปูเครื่องลาดที่ทำด้วยหญ้า ณ ที่อยู่ของพญานาคนั้น
แล้วนั่งขัดสมาธิ นาคทนดูความลบหลู่มิได้ ก็บังหวลควัน. พระ-
เถระก็บังหวลควันบ้าง. นาคทำให้ไฟลุก. พระเถระก็ทำให้ไฟ
ลุกบ้าง เดชของนาคข่มพระเถระไม่ได้ เดชของพระเถระข่มนาค
ได้ ท่านกำหราบพระยานาคนั้นพักเดียว ก็ให้ดำรงในสรณะ ใน
ศีลได้แล้ว ได้ไปสู่สำนักของพระศาสดา ด้วยประการฉะนี้. ฝ่าย
พระบรมศาสดาประทับอยู่ ณ นิคม ภัททวติกา ตามพระพุทธ-
อัธยาศัยแล้ว ได้เสด็จไปสู่พระนครโกสัมพี เรื่องราวที่พระสาคต-
เถระกำหราบนาค แผ่ไปทั่วชนบท.
ฝูงชนชาวพระนครโกสัมพี กระทำการต้อนรับพระศาสดา
พากันถวายบังคมพระองค์แล้ว ก็เลยไปสำนักพระสาคตเถระ
ไหว้แล้วยืนอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่ง พากันกล่าวอย่างนี้ว่า " ข้าแต่
พระคุณเจ้าผู้เจริญ สิ่งใดที่พระคุณเจ้าได้ด้วยยาก นิมนต์บอก
สิ่งนั้น พวกกระผมจะจัดถวายสิ่งนั้นจงได้. พระเถระก็นิ่งเสีย
แต่ภิกษุฉัพพัคคีย์ พากันพูดว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย สุราสีแดงดังสี

เท้านกพิราบ พวกบรรพชิตหาได้ยากนัก และก็เป็นของชอบใจ
ด้วย ถ้าพวกท่านเลื่อมใสพระเถระ ละก็จัดสุราสีแดงดังสีเท้า
นกพิราบมาถวายเถิด. พวกนั้นก็รับคำว่า ดีละ เจ้าข้า พากัน
กราบทูลพระศาสดา เพื่อทรงฉันในวันพรุ่งแล้ว พากันเข้าสู่
พระนคร ต่างคนต่างจัดเตรียมสุราใส ที่มีสีแดงดังสีเท้านกพิราบ
ไว้ที่เรือนของตน ๆ ด้วยหวังว่า จักถวายแด่พระเถระ นิมนต์
พระเถระไปแล้ว พากันถวายสุราใสทุก ๆ เรือน พระเถระดื่ม
แล้ว เมาสุราเดินออกจากพระนคร ล้มลงที่ระหว่างประตู นอน
บ่นพร่ำไป พระศาสดาทรงกระทำภัตรกิจแล้ว เมื่อเสด็จออกจาก
พระนคร ทอดพระเนตรเห็นพระเถระนอนด้วยท่าทางนั้น มี
พระพุทธดำรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงช่วยประคอง
พระสาคตะไป ให้พวกภิกษุประคองไปสู่พระอาราม พวกภิกษุ
วางศีรษะของพระเถระ ณ บาทมูลของพระตถาคต แล้วให้ท่าน
นอน. ท่านพระสาคตะกลับนอนเหยียดเท้าไปเฉพาะพระพักตร์
พระตถาคต. พระศาสดาตรัสสอบถามพวกภิกษุว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย ความเคารพในเราตถาคต ที่สาคตะเคยมีในก่อนนั้น
บัดนี้ยังมีอยู่หรือไร ? พวกภิกษุพากันกราบทูลว่า ไม่มีพระเจ้าข้า
ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไรเล่ากำหราบพญานาคชื่อ
อัมพติฏฐกะ พวกภิกษุกราบทูลว่า พระสาคตเถระพระเจ้าข้า
ตรัสถามว่า ก็บัดนี้ สาคตะยังจะอาจเพื่อกำหราบงูปลา
ได้หรือ ? กราบทูลว่า เรื่องนั้นไม่ได้แน่นอน พระเจ้าข้า. ตรัสว่า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ดื่มสิ่งใดแล้ว ปราศจากความจำได้หมายรู้
อย่างนี้ สิ่งนั้นควรที่ภิกษุจะดื่มถึงเพียงนี้หรือไม่เล่า ? กราบทูล
ว่า ไม่ควรเลยพระเจ้าข้า. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตำหนิพระเถระ
แล้ว ทรงเรียกพวกภิกษุมา ทรงบัญญัติสิกขาบทว่า เป็นปาจิตตีย์
ในเพราะดื่มสุราเมรัย แล้วเสด็จจากอาสน์เข้าพระคันธกุฎี
ภิกษุทั้งหลายประชุมกันในธรรมสภา พูดถึงโทษของการดื่ม
สุราว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่า การดื่มสุรามีโทษใหญ่หลวง
ถึงกับกระทำให้พระสาคตะผู้ได้นามว่า สมบูรณ์ด้วยปัญญา มีฤทธิ์
ไม่รู้แม้แต่คุณของพระศาสดา จึงได้กระทำอย่างนั้น. พระศาสดา
เสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอประชุม
สนทนากันด้วยเรื่องอะไรเล่า ? เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้
ทรงทราบแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกบรรพชิตดื่ม
สุราแล้ว พากันสลบไสล มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น แม้ในครั้งก่อน
ก็ได้เป็นแล้วเหมือนกัน ดังนี้แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก
ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาลครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ใน
กรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลอุทิจจพราหมณ์
ในแคว้นกาสี เจริญวัยแล้วบวชเป็นฤาษี ได้อภิญญาและสมาบัติ
ประลองฌาน พำนักอยู่ในหิมวันตประเทศ แวดล้อมด้วยอันเตวาสิก
ประมาณ 500 ครั้นถึงฤดูฝน พวกอันเตวาสิก พากันเรียนท่าน
ว่า ท่านอาจารย์ขอรับ พวกเราพากันไปแดนมนุษย์ บริโภคของ

เปรี้ยว ๆ เค็ม ๆ แล้วค่อยมากันเถิด. ฤๅษีพระโพธิสัตว์กล่าวว่า
อาวุโส เราจะคอยอยู่ในที่นี้แหละ พวกเธอพากันไป บำรุงร่างกาย
จนฤดูฝนผ่านไป แล้วจึงพากันกลับมาเถิด. อันเตวาสิกเหล่านั้น
รับคำว่า ดีแล้วขอรับ พากันกราบลาอาจารย์ไปสู่พระนคร-
พาราณสี พักอยู่ในพระราชอุทยาน ครั้นวันรุ่งขึ้นก็พากันไป
เที่ยวภิกษาจารในบ้านภายนอกประตูพระนคร ได้รับความ
เกื้อกูลอย่างดี รุ่งขึ้นอีกวันหนึ่ง จึงพากันเข้าไปสู่พระนคร
พวกมนุษย์พากันชื่นชมถวายภิกษา ล่วงมา 2-3 วัน ก็พากัน
กราบทูลพระราชาว่า ขอเดชะ ฤาษี 500 รูป พากันมาจาก
ป่าหิมพานต์ พักอยู่ในพระราชอุทยาน มีตบะกล้า มีอินทรีย์อัน
ชนะแล้วอย่างเยี่ยม มีศีล พระราชทรงสดับคุณของฤๅษีเหล่านั้น
เสด็จสู่อุทยาน ทรงนมัสการแล้วกระทำการปฏิสันถาร ผะเดียง
ให้อยู่ในพระอุทยานนั้นแหละตลอด 4 เดือนฤดูฝน. นับแต่นั้น
ฤๅษีเหล่านั้น ก็พากันฉันในพระราชวังแห่งเดียว พำนักอยู่ ณ
พระราชอุทยาน.
อยู่มาวันหนึ่ง ในพระนครได้มีงานนักขัตฤกษ์ ชื่อว่า
สุรานักษัตร์. พระราชาทรงพระดำริว่า สุรา พวกบรรพชิต
หาได้ยาก จึงรับสั่งให้ถวายสุราอย่างดี เป็นอันมาก พวกดาบส
ดื่มสุราแล้ว พากันกลับไปอุทยาน ต่างก็เมาสุรา บางพวก
ลุกขึ้นฟ้อนรำ บางพวกขับร้อง ครั้นฟ้อนรำขับร้องแล้ว ก็พากัน
นอนหลับทับบริขาร มีไม้คานเป็นต้น พอสร่างเมา พากันตื่น เห็น

อาการอันวิปริตของตนนั้น ต่างก็ร้องไห้คร่ำครวญว่า พวกเรา
มิได้กระทำการอันสมควรแก่บรรพชิตเลย กล่าวกันว่า พวกเรา
จากท่านอาจารย์มา พากันกระทำกรรมอันเลวถึงเพียงนี้ ทันใด
นั้นเอง ก็พากันทิ้งอุทยานกลับไปป่าหิมพานต์ เก็บบริขารไว้
เรียบร้อยแล้ว พากันไหว้อาจารย์นั่งอยู่แล้ว อันท่านอาจารย์
ถามว่า พ่อคุณทั้งหลาย พวกท่านมิได้ลำบากด้วยภิกษา พากัน
อยู่สบายในถิ่นของมนุษย์หรือไฉน อนึ่งพวกเธอยังจะอยู่กันด้วย
ความสมัครสมานสามัคคีอยู่หรือ พากันกราบเรียนว่า ท่าน
อาจารย์ขอรับ พวกกระผมอยู่กันอย่างสบาย ก็แต่ว่า พวกผม
พากันดื่มในสิ่งไม่ควรดื่ม สลบไสลไปตาม ๆ กัน ไม่อาจดำรง
สติได้ พากันขับร้องฟ้อนรำตามเรื่อง เมื่อแจ้งเรื่องนั้นแล้ว
ก็พากันยกคาถานี้เรียนอาจารย์ว่า :-
" พวกกระผมได้พากันดื่ม ได้ชวนกัน
ฟ้อน พากันขับร้อง แล้วก็พากันร้องไห้ เพราะ
ดื่มสุราที่ทำให้สัญญาวิปริต เห็นดีแต่ที่มิได้
กลายเป็นลิงไปเสียเลย "
ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อปายิมฺห แปลว่า พวกกระผม
พากันดื่มสุรา.
บทว่า อนจฺจิมฺห ความว่า ครั้นดื่มสุราแล้ว ก็คะนองมือ
คะนองเท้า พากันฟ้อนรำ.

บทว่า อคายิมฺหิ ความว่า เปิดปากร้องเพลงด้วยเสียง
อันยืดยาว.
บทว่า รุทิมฺห จ ความว่า กลับมีวิปฏิสาร พากันร้องไห้ว่า
พวกเราทำกรรมไม่สมควรเห็นปานนี้.
บทว่า ทิฏฺฐา นาหุมฺห วานรา ความว่า เหตุเพราะดื่มสุรา
ที่ชื่อว่า กระทำให้สัญญาวิปริต เพราะทำลายสัญญาเสียได้ถึง
เพียงนี้ ข้อนั้นยังดี ที่พวกข้าพเจ้าไม่กลายเป็นลิงไปเสียหมด.
พวกอันเตวาสิกเหล่านั้น พากันกล่าวโทษของตน ด้วยประการ
ฉะนี้.
พระโพธิสัตว์กล่าวว่า ขึ้นชื่อว่า นรชนที่เหินห่างจาก
การอยู่ร่วมกับครู ย่อมเป็นเช่นนี้ได้ทั้งนั้น ตำหนิดาบสเหล่านั้น
แล้วให้โอวาทว่า พวกท่านอย่ากระทำกรรมเห็นปานนี้ต่อไปอีก
มีฌานไม่เสื่อม ได้ไปบังเกิดในพรหมโลกแล้ว.
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุม
ชาดกว่า คณะฤๅษีในครั้งนั้น ได้มาเป็นพุทธบริษัท ส่วนศาสดา
ของคณะ ได้มาเป็นเราตถาคต ขอประกาศว่า นับแต่เรื่องนี้ไป
จะไม่กล่าวถึงบทว่า อนุสนฺธึ ฆเฏตฺวา นี้อีกต่อไป.
จบ อรรถกถาสุราปานชาดกที่ 1

2. มิตตวินทกชาดก


ว่าด้วยจักรบดศีรษะ


[82] "ท่านเลยปราสาทแก้วผลึก ปราสาทเงิน
และปราสาทแก้วมณีมาแล้ว มาถูกจักรกรด
สำเร็จด้วยหินพัดผันอยู่ ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่
ก็จักไม่พ้นจากจักรกรดตราบนั้น"

จบ มิตตวินทกชาดกที่ 2

อรรถกถามิตตวินทกชาดกที่ 2


พระบรมศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร
ทรงปรารภภิกษุว่ายากรูปหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำ
เริ่มต้นว่า อติกฺกมฺม รมณกํ ดังนี้.
ก็เรื่องของชาดกนี้ เป็นเรื่องเกิดขึ้นครั้งศาสนาของ
พระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า จักแจ่มแจ้งในมหามิตตวินทกชาดก
หลักนิบาต ก็ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์กล่าวคาถานี้ ความว่า
" ท่านเลยปราสาทแก้วผลึก ปราสาทเงิน
และปราสาทแก้วมณี มาแล้ว มาถูกจักรกรด
สำเร็จด้วยหินพัดผันอยู่ ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่
ก็จักไม่พ้นจากจักรกรดตราบนั้น "
ดังนี้.